รัฐต้องใช้วัคซีนโควิด -19ปกป้องชีวิตคนไทย อย่าใช้วัคซีนปกป้องภาพลักษณ์ทางการเมือง


 


CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล


รัฐต้องใช้วัคซีนโควิด -19ปกป้องชีวิตคนไทย อย่าใช้วัคซีนปกป้องภาพลักษณ์ทางการเมือง


กรณีพบแม่ค้าตลาดบางแคติดเชื้อโควิด-19 หลังจากฉีดวัคซีนไปแล้ว เป็นการย้ำเตือนสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขเคยประกาศว่า “แม้ฉีดวัคซีนแล้ว ต้องการ์ดอย่าตก ยังต้องใส่มาสก์ รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง” เพราะฉีดวัคซีนแล้ว ไม่ได้แปลว่าจะไม่ติดเชื้อซ้ำอีก เพียงแต่วัคซีนช่วยป้องกันการเสียชีวิตและป่วยรุนแรงจากโควิด-19ได้ ถ้าผู้รับวัคซีนไม่ประสบอาการข้างเคียงจากวัคซีนจนเสียชีวิตไปเสียก่อน


ความเชื่อว่าฉีดวัคซีนแล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว แต่เมื่อพบว่าแม้ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังสามารถติดเชื้อใหม่ได้อีก ยังแพร่เชื้อต่อไปได้อีก ทำให้รัฐบาลต้องเปลี่ยนแผนจากเดิมที่คาดว่าจะเปิดประเทศให้พาสปอร์ตนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนครบโดส ที่เรียกว่า”วัคซีนพาสปอร์ต”สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้โดยเสรี ไม่ต้องกักตัว ก็ต้องเลื่อนเวลาออกไปเป็นมกราคมปี 2565 ส่วนการเปิดประเทศในเดือนเมษายนปีนี้ นักท่องเที่ยวยังต้องถูกกักตัวในโรงแรมเป็นเวลา 7วันโดยลดลงจากการกักตัว14วัน


รัฐบาลต้องปกป้องสวัสดิภาพและชีวิตคนไทยมากกว่าปกป้องหรือคอยแก้ต่างให้วัคซีน จนประชาชนขาดความเชื่อถือรัฐบาลนำเข้าวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าที่ผลิตในเกาหลีใต้มาใช้ ซึ่งวัคซีนดังกล่าว รัฐบาลเกาหลีใต้กำหนดชดเชยการตายที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนโดยรัฐบาลเขาจ่ายเงินชดเชยการตายให้ 12ล้านบาทต่อคน แต่รัฐบาลไทยไม่ได้ให้หลักประกันเป็นกรณีพิเศษว่าหากมีการตายที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน เพียงแค่ประกาศว่าให้ใช้มาตรา 41 ของพรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ที่สามารถจ่ายเงินเยียวยาเบื้องต้น4แสนบาท แต่ในพรบ.ระบุว่า “ต้องไม่เป็นความเสียหายที่ดำเนินไปตามพยาธิสภาพของโรค หรือเหตุแทรกซ้อนของโรคที่เป็นไปตามปกติธรรมดาของโรคนั้นอยู่แล้ว” ดังนั้นกรณีที่ผู้ตายรายแรกหลังฉีดวัคซีน ก็ถูกวินิจฉัยว่า “ไม่น่าจะเกี่ยวกับวัคซีน เพราะป่วยด้วยโรคเส้นเลือดโป่งพองในท้องอยู่แล้ว “ กรณีดังกล่าว ผู้แถลงกล่าวว่าอาการเส้นเลือดโป่งพองนั้นเป็นระเบิดเวลา แต่ไม่มีใครบอกได้ว่า วัคซีนทำให้ระเบิดเวลาทำงานเร็วขึ้นหรือไม่ และยังวินิจฉัยกรณีแม่ค้าบางแคที่ติดเชื้อ
โควิด-19 หลังฉีดวัคซีนว่าเป็นการติดเชื้อก่อนฉีดวัคซีน


รัฐบาลไทยควรให้ความสำคัญกับ”การปกป้องชีวิตคนไทย มากกว่าปกป้องวัคซีน” ดังนั้นจึงควรให้หลักประกันการชดเชยอย่างรวดเร็วเป็นกรณีพิเศษที่แยกออกจากการชดเชยตามมาตรา41หากมีการเจ็บป่วย พิการ และตายอันเนื่องมาจากการฉีดวัคซีน เช่นเดียวกับรัฐบาลเกาหลีใต้ ในจำนวนเงินที่เหมาะสมโดยไม่อ้างพยาธิสภาพของผู้รับวัคซีนเป็นเหตุที่ไม่ชดเชยให้


ปัจจุบัน วัคซีนโควิด-19 ทุกยี่ห้อเป็นการขึ้นทะเบียนยาเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน ดังนั้นผู้ผลิต และจำหน่ายวัคซีนจึงไม่ต้องรับผิดชอบกับกรณีที่เกิดอันตรายทั้งสิ้น ผู้รับผิดชอบคือหน่วยงานรัฐ รัฐบาลจึงไม่อนุญาตให้ร.พ เอกชนและองค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นผู้ซื้อมาฉีดให้ประชาชนเอง แม้วัคซีนจะเป็นยาที่ผลิตมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อฉีดแล้วก็ไม่มีหลักประกันเรื่องความปลอดภัยที่จะไม่เกิดผลข้างเคียง รวมทั้งในกรณีที่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต มิหนำซ้ำ เมื่อฉีดแล้วจะยังสามารถติดเชื้อและแพร่เชื้อได้อีก รัฐบาลจึงควรมีหลักประกันที่ชัดเจนให้กับผู้รับวัคซีน


ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงควรใช้อย่างฉลาด โดยมุ่งเป้าใช้กับคนประกอบอาชีพที่เสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด-19 เช่น แพทย์ พยาบาล อสม. บุคลากรสาธารณสุข พนักงานโรงแรม ห้าง ร้าน โรงงาน ผู้ค้าขายในตลาดหรือหาบเร่ แผงลอยเป็นต้น และบุคคลที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ สมควรฉีดเพื่อบรรเทาความร้ายแรงเมื่อเจ็บป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 และที่สำคัญควรเร่งฉีดในกลุ่มคนเหล่านี้ให้ทั่วถึงโดยเร็ว ก่อนที่เชื้อจะกลายพันธุ์เหมือนประเทศบราซิลที่เกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด-19 และทำให้วัคซีนในล็อตนั้นไม่ได้ผล


อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไทยชักช้าไม่เร่งรัดฉีดให้กลุ่มเป้าหมายที่มีความสำคัญเร่งด่วนอย่างทั่วถึง ก็อาจก่อให้เกิดเชื้อกลายพันธุ์และต้องเปลี่ยนวัคซีนชนิดใหม่ ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล และต้องยอมรับความจริงว่า ในอนาคตก็ยังไม่แน่นอนว่าต้องฉีดวัคซีนชนิดใหม่อีกกี่ครั้งเพื่อต้านเชื้อโควิด-19ที่มีแนวโน้มกลายพันธุ์ได้เรื่อยๆ


อย่างไรก็ตาม สำหรับคนทั่วไป เด็กหรือผู้สูงวัยเกิน70 ที่การ์ดไม่ตก คือหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ใส่มาสก์อย่างเคร่งครัด ก็ถือเสมือนเป็นวัคซีนป้องกันโรคที่ดีที่สุด และหากมีอาการป่วยด้วยไข้หวัดจากไวรัสไม่ว่าสายพันธุ์ใด เช่น มีอาการไข้ ไอ หวัด เจ็บคอ หรือเริ่มมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวก็สามารถใช้ฟ้าทะลายโจรในการรักษาได้

ปัจจุบันมีการใช้ฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ติดเชื้อ โควิด-19 ใน7โรงพยาบาลรัฐ ทั้งระดับร.พ ศูนย์ ร.พ ทั่วไป และร.พ ชุมชน ได้แก่ ร.พ ราชบุรี ร.พ นครปฐม ร.พ สมุทรสาคร ร.พ ระยอง ร.พ บ้านโป่ง ร.พ กระทุ่มแบน ร.พ แม่ระมาด จ.แม่ฮ่องสอน มีจำนวนผู้ป่วยรวมกว่า 270 รายหายเป็นปกติทั้งหมดโดยใช้ผงฟ้าทะลายโจรบรรจุแคปซูลเพียงอย่างเดียว วันละ180 มิลลิกรัม แบ่งกินครั้งละ 3แคปซูล ก่อนอาหาร เช้า กลางวัน เย็น เป็นเวลา 5วัน ได้ผลดี ผู้ป่วยด้วยเชื้อโควิด-19 ทุกคนหายเป็นปกติสามารถกลับบ้านได้ และยังมีการศึกษาเปรียบเทียบฟ้าทะลายโจรกับยาหลอก ในสถานกักกันโรคที่สมุทรปราการ จำนวน50คน


โดยที่ก่อนหน้านี้ กรมการแพทย์แผนไทยฯกระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศยืนยันว่าสารสกัดฟ้าทะลายโจรสามารถฆ่าเชื้อโควิด-19ในหลอดทดลอง และมีการศึกษาวิจัยขนาดการใช้ฟ้าทะลายโจรที่ได้ผลในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19ที่มีอาการน้อยถึงปานกลางขอสนับสนุนให้ภาครัฐเร่งบูรณาการ การใช้ยาฟ้าทะลายโจรอันเป็นภูมิปัญญาไทยร่วมกับยาอื่นๆเพื่อต้านการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่เป็นปัญหาใหญ่ของโลก และประเทศไทยในเวลานี้ และเชื้อโควิด-19 ยังคงไม่หมดไปในอนาคตอันใกล้
รสนา โตสิตระกูล
31 มีนาคม 2564


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

“Sanan Angubolkul” becomes the 25th Chairman of the Thai Chamber of Commerce To continue the TCC mission, highlighting “Connect the Dots” policy to revitalize Thai economy within 99 days

ศุกร์ 22 ม.ค.นี้ ธอส. ชวนมีบ้านง่ายๆ เพียงปลายนิ้วสัมผัส ขนบ้านมือสองทั่วประเทศ 990 รายการ มาเปิดประมูลออนไลน์ “บ้านถูกใจ หาได้ที่ ธอส ”

มูลนิธิหนึ่งคนให้ หลายคนรับ เชิญร่วมบริจาคเงินสมทบกองทุนสู้ภัยโควิด-19