หัวเว่ย เสนอห้าลำดับสำคัญเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรม พร้อมเปิดตัวรายงาน Global Connectivity Index ฉบับที่ 7
หัวเว่ย เสนอห้าลำดับสำคัญเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรม
พร้อมเปิดตัวรายงาน Global Connectivity Index ฉบับที่ 7
[เซินเจิ้น, ประเทศจีน
1
มีนาคม พ.ศ. 2564] - หัวเว่ย เปิดตัวรายงาน Global Connectivity Index
(GCI) 2020 ซึ่งเป็นรายงาน GCI ที่จัดทำขึ้นเป็นฉบับที่
7 และเป็นครั้งแรกที่รายงานดังกล่าวเสนอห้าลำดับสำคัญเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลสำหรับภาคอุตสาหกรรม
ประกอบด้วย การเสริมประสิทธิภาพของงานแต่ละชิ้น, การเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน,
การเสริมประสิทธิภาพระบบ, การเสริมประสิทธิภาพและความคล่องตัวขององค์กร รวมถึงการเสริมประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในอีโคซิสเต็ม
รายงาน GCI 2020 ชี้ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมจะช่วยให้แต่ละประเทศเพิ่มศักยภาพการผลิต
เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพัฒนาความสามารถในการแข่งขันในอนาคตได้อย่างดีเยี่ยม
ผลการวิจัยจาก GCI ยังระบุว่าเศรษฐกิจที่สามารถเสริมความแข็งแกร่งด้านการผลิต
และปรับตัวสู่ระบบดิจิทัลซึ่งขับเคลื่อนด้วยการเชื่อมต่ออัจฉริยะ จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มรวม
(GVA) ต่อคนหรือต่อชั่วโมงการทำงานได้
ประเทศ
Starters เดินหน้ารุกคืบ เร่งลดระยะห่างทางเศรษฐกิจ
รายงาน GCI 2020
ระบุว่าบรรดาประเทศที่อยู่ในช่วงต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Starter) มีความคืบหน้าด้านการขยายความครอบคลุมบรอดแบนด์ในประเทศอย่างเห็นได้ชัด
โดยพบว่ามีอัตราการเข้าถึงบริการบรอดแบรนด์โทรศัพท์เคลื่อนที่มากขึ้นถึง 2.5 เท่า และมีราคาค่าบริการที่ย่อมเยาขึ้นถึง
25% ในขณะที่อัตราผู้รับบริการสัญญาณ 4G เพิ่มขึ้นจาก 1%
เป็น 19% ซึ่งความสำเร็จนี้ทำให้เหล่าประเทศ Starter
ให้บริการดิจิทัลที่ครอบคลุมได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้สามารถตอบรับโอกาสที่จะนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจใหม่
ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่างบประมาณด้านอีคอมเมิร์ซของประเทศเหล่านี้พุ่งสูงขึ้นเป็นสองเท่าตั้งแต่ปี
2557 เป็นต้นมา หรือคิดเป็นเม็ดเงินที่ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัว
โดยบางประเทศ Starter สามารถดันตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ
(GDP) ได้สูงกว่าประเทศอื่น ๆ ถึง 22% และในปี
2563 ที่ผ่านมา ประเทศอย่างเวียดนามและเปรู ก็กลายเป็นระบบเศรษฐกิจที่รับเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในประเทศ
(Adopter) เป็นที่เรียบร้อย
องค์กรต่าง
ๆ ในประเทศ Frontrunner ต่างระบุว่าควรรักษางบประมาณด้านไอทีไว้เช่นเดิม
งานวิจัยชี้ว่า
ความพร้อมขององค์กรในการลงทุนด้านไอทีมักขึ้นอยู่กับสถานที่ตั้งของธุรกิจ โดยพบว่า
องค์กรที่ดำเนินงานอยู่ในประเทศที่รับเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่มาใช้เป็นอันดับต้น ๆ (Frontrunner) และประเทศที่กำลังรับเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ (Adopter) ต่างให้ความสำคัญต่องบประมาณด้านไอทีมากกว่างบประมาณอื่น ๆ ดังนั้น
ประเทศที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างดิจิทัลมากกว่า
ก็จะสามารถลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สืบเนื่องมาจากภาวะโรคระบาด
ส่งผลให้ฟื้นตัวได้เร็ว และมีความต่อเนื่องในการพัฒนาอุตสาหกรรมที่จะก่อให้เกิดศักยภาพการผลิตที่สูงขึ้น
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของภาคเศรษฐกิจจะช่วยพัฒนาศักยภาพการผลิต
เร่งฟื้นฟูภาคธุรกิจ และเสริมความสามารถในการแข่งขัน
รายงาน GCI ยังเสนอห้าระยะสำคัญเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของภาคเศรษฐกิจ
ดังนี้
ระยะที่ 1 เสริมประสิทธิภาพในแต่ละงาน
มุ่งให้ความสำคัญต่อการติดตามงานแต่ละชิ้น ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่เปี่ยมประสิทธิภาพยิ่งขึ้นผ่านการเชื่อมต่อแบบพื้นฐาน
ระยะที่ 2 เสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน
การปฏิบัติงานผ่านคอมพิวเตอร์และระบบอัตโนมัติที่เสริมศักยภาพด้วยเทคโนโลยีไอซีทีช่วยให้องค์กรสามารถรองรับการทำงานหลาย
ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน ทั้งยังช่วยให้แบ่งปันข้อมูลได้ราบรื่นยิ่งขึ้น
ระยะที่ 3
เสริมประสิทธิภาพระบบ ตอกย้ำความสำคัญกับการปรับระบบการทำงานหลักให้มีความเป็นดิจิทัล
เพื่อการดำเนินงานที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์สูงสุด ธุรกิจองค์กรจะมีความต้องการการเชื่อมต่อและบริการคลาวด์ที่มากขึ้นในระยะนี้
ระยะที่ 4
เสริมประสิทธิภาพและความคล่องตัวขององค์กร ขั้นตอนการทำงานของธุรกิจองค์กรปรับมาอยู่ในระบบดิจิทัล
และมีการผสานแอปพลิเคชันขององค์กรสู่ระบบคลาวด์ เชื่อมโยงทุกระบบอย่างเต็มรูปแบบ
ระยะที่ 5 เสริมประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในอีโคซิสเต็ม
อีโคซิสเต็มทั้งหมดก้าวเข้าสู่ระบบดิจิทัล
และสามารถปรับตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างรวดเร็ว
รองรับการจัดการแบบอัตโนมัติและการทำงานร่วมกันข้ามอุตสาหกรรมของภาคส่วนต่าง ๆ
ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งมีเทคโนโลยีสำคัญอย่าง 5G, IOT, และวิทยาการหุ่นยนต์
ที่คอยขับเคลื่อนโอกาสทางธุรกิจ พร้อมปั้นโมเดลทางธุรกิจ วิธีการทำงาน
และผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมสู่ระบบดิจิทัล
ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนด้านไอซีทีจากรายงาน
GCI 2020 ระบุว่า
ถึงแม้การลงทุนในประเทศไทยจะมุ่งเน้นไปที่ด้านฮาร์ดแวร์และอุปกรณ์มือถือเป็นหลัก
แต่ก็ยังสามารถมองเห็นการเติบโตด้านเทคโนโลยีคลาวด์ได้อย่างต่อเนื่อง
และถึงแม้ประเทศไทยจะยังต้องเผชิญปัญหาความไม่แน่นอนจากสภาพเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ทางการเมือง
ทางฝั่งของภาคธุรกิจก็ยังคงลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างนวัตกรรมด้านดิจิทัลใหม่
ๆ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน
โดยอัตราการใช้งานเทคโนโลยีประมวลผลคลาวด์คอมพิวติ้งในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นถึงสามเท่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา
ซึ่งมีนโยบายไทยแลนด์ 4.0
เป็นตัวช่วยผลักดันเทรนด์การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ทั้งนี้
ปัจจุบันประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศอันดับที่สามในด้านความก้าวหน้าของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รองจากประเทศสิงคโปร์ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งและมาเลเซียซึ่งเป็นอันดับสอง
รายงาน
GCI ถูกจัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ที่จะช่วยเร่งพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลกับผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบเศรษฐกิจ
โดยได้ประเมินความคืบหน้าของ 79 ประเทศ ซึ่งนับเป็น 95%
ของมูลค่า GDP ทั้งหมด และคิดเป็น 84%
ของจำนวนประชากรทั่วโลก
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถอ่านเพิ่มได้ที่
https://www.huawei.com/minisite/gci/en
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น